วิตามินเอ


                วิตามินเอ คือหนึ่งในวิตามินที่ละลายในไขมัน วิตามินเอหรืออีกชื่อคืออนุพันธ์เรตินอยด์ (Retinoids) ประกอบไปด้วย เรตินอล (Retinol) เรตินาล (Retinal) และ เรตินิลเอสเตอร์ (Retinyl ester) วิตามินเอ มีหน้าที่สำคัญในด้านภูมิคุ้มกัน การมองเห็น การเจริญเติมโตของทารกในครรภ์ โดยการขาดวิตมินเอนำมาสู่การเกิดโรคตาบอดในเวลากลางคืนซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อย ในประเทศกำลังพัฒนา

 Vitamin A พบทั่วไปในอาหารโดยพบใน 2 รูปแบบหลัก คือ วิตามินเอเรตินอลที่พร้อมใช้งาน (Performed vitamin A : retinol) และในรูปแบบสารตั้งต้น (Provitamin A carotenoids) ซึ่งประกอบไปด้วย แอลฟ่าแคโรทีน เบต้าแคโรทีน และเบต้าคริปโตแซนทิน โดยส่วนใหญ่เราจะพบสารเบต้าแคโรทีนได้มากที่สุด โดยส่วนใหญ่พบให้ผักและผลไม้

หน้าที่ของวิตามินเอ

ทำไมเราถึงต้องการวิตามินเอ ?

          เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า Vitamin A มีช่วยช่วยในการมองเห็น โดยเฉพาะการมองเห็นในเวลากลางคืน จากโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารเสริม หรือเครื่องดื่มผสมวิตามินต่างๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว vitamin A มีความสำคัญและมีประโยชน์ต่อร่างกายเรามากกว่าแค่เรื่องการมองเห็น โดยจะขอกล่าวถึงโดยย่อแบ่งเป็น 6 ประโยชน์สำคัญได้ดังนี้

  1. มีส่วนช่วยในการบำรุงสายตา และการมองเห็นในตอนกลางคืน พูดได้ว่าวิตามินเอมีส่วนช่วยในการมองเห็นอย่างแท้จริง โดยวิตามินเอเป็นหนึ่งในสารสื่อประสาทของของเซลล์ประสาทในลูกตา ทำให้สมองรับรู้ภาพที่มองเห็นจากดวงตา นอกจากนั้นแล้ว วิตามินเอยังมีส่วนสำคัญในการเพิ่มความชุ่มชื้นของดวงตา โดยจะเห็นVitamin A เป็นส่วนส่วนประกอบสำคัญในยาหยอดตาที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ดวงตา
  2. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง โดย vitamin A เป็นส่วนประกอบสำคัญของการสร้างภูมิคุ้มกันบริเวณเยื่อบุทางเดินอาหาร และเยื่อบุทางเดินหายใจ ซึ่งเปรียบเสมือนปราการแรกที่ป้องกันการบุกรุกของเชื้อโรคต่างๆ ไม่ให้เข้ามา ซึ่งรวมไปถึงเชื้อไวรัสต่างๆ และไวรัสโควิด-19 ด้วย
  3. Vitamin A มีส่วนช่วยในการลดการเกิดมะเร็ง โดยพบว่าผู้ที่ได้รับสารเบต้าแคโรทีนในปริมาณที่สูง มีโอกาสลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด โดยเฉพาะมะเร็งปอด และมะเร็งต่อมลูกหมาก
  4. Vitamin A สารสำคัญในการรักษาสิว และบำรุงผิวหนัง เป็นที่รู้กันในวงกว้างว่า วิตามินเอ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบรับประทาน หรือแบบทา เป็นตัวยาสำคัญในการรักษาสิว และวิตามินเอยังเป็นยาทาตัวแรกที่สมาคมโรคผิวหนังในอเมริกาแนะนำให้ให้ใช้ในการรักษาสิว
  5. Vitamin A ก็มีส่วนช่วยในการเพิ่มความแข็งแรงของกระดูกและฟัน โดยทำงานร่วมกับวิตามินดี ในการเพิ่มความแข็งแรงของกระดูกและฟัน
  6. วิตามินส่งเสริมการตั้งครรภ์ Vitamin A มีส่วยช่วยตั้งแต่การฝังตัวของตัวอ่อนที่บริเวณมดลูก ไปจนถึงการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ โดยมีส่วนในการพัฒนาอวัยวะสำคัญ เช่นกระดูก สมอง หัวใจ และดวงตา แต่การรับประทาน Vitamin A ที่มากเกินความต้องการก็อาจส่งผลให้เกิดความผิดปกติระหว่างการตั้งครรภ์ได้ จึงมีคำเตือนให้การทานวิตามินเอในช่วงตั้งครรภ์ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์เท่านั้น

ปริมาณของวิตามินเอที่ร่างกายต้องการต่อวัน

          ก่อนที่จะทราบว่าปริมาณ Vitamin A ที่ร่างกายต้องการนั้นมีปริมาณเท่าไหร่ เราจำเป็นต้องทราบหน่วยของ ปริมาณวิตามินเอ ที่ใช้กันแพร่หลาย นั่นก็คือ Retinol Activity Equivalent (RAE) เนื่องจาก VitaminA พบในสารอาหารได้หลายรูปแบบ เช่น เรตินอล เรตินิลเอสเตอร์ เบต้าแคโรทีน เป็นต้น ทางหน่วยงานอาหารของอเมริกา จึงได้กำหนดหน่วย RAE ขึ้นมา โดย  1 RAE เท่ากับ 1 ไมโครกรัมของเรตินอล ซึ่งมีค่าเท่ากับ 6 ไมโครกรัมของเบต้าแคโรทีน หรือ 12 ไมโครกรัม ของแอลฟ่าแคโรทีนและเบต้าคริปโตแซนทิน

          โดยปริมาณของ Vitamin A ที่ต้องการจะเพิ่มมากขึ้นตามในแต่ละช่วงอายุ และปริมาณสารอาหารอ้างอิงที่ควรได้รับ ประจำวันของคนไทย อ้างอิงจากสำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ปี 2563 แนะนำปริมาณ vitamin A  ที่ควรได้รับต่อวัน (Recommended Dietary Allowance; RDA) สำหรับผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่า 19 ปี มีดังนี้

  • เพศชาย  700 RAE
  • เพศหญิง 600 RAE
  • หญิงตั้งครรภ์ 700 RAE
  • หญิงที่ให้นมบุตร   1300 RAE

สัญญาณเตือนเมื่อร่างกายขาดวิตามินเอ

          อาการขาดVitamin A เป็นอาการที่พบบ่อยในหลายประเทศ โดยเริ่มพบได้ตั้งแต่ทารก เนื่องจากได้รับน้ำนมแม่ไม่เพียงพอ หรือพบในเด็กที่มีอาการท้องเสียเรื้อรังทำให้มีภาวะขาด Vitamin A  ส่วนในผู้ใหญ่การเกิดภาวะขาดวิตามินเอนั้นเกิดจากการได้รับสารอาหารที่มีvitamin A ไม่เพียงพอ สัญญาณเตือนที่พบบ่อยคือ อาการตาแห้ง และมีการมองเห็นในเวลากลางคืนที่แย่ลง หากไม่ได้รับการรักษา อาจจะทำให้กระจกตาแห้งและแตก จนถึงขั้นตาบอดในที่สุด

          นอกจากนั้นอาการทางตาและการมองเห็นแล้ว ก็ยังมีอาการที่เกิดจากภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่นติดเชื้อทางเดินหายใจ หรือทางเดินอาหารได้ง่ายและมีอาการรุนแรง มากไปกว่านั้นการขาดวิตามินเอทำให้ปริมาณธาตุเหล็กลดลง ซึ่งสามารถนำไปสู่ภาวะโลหิตจางได้

แหล่งอาหารที่อุดมด้วยวิตามินเอ

          Vitamin A พบได้ในอาหาร ไม่ว่าจะเป็นวิตามินเอจากเนื้อสัตว์ เช่นเนื้อปลาบางชนิด และวิตามินเอจากผักและผลไม้ โดยวิตามินเอในอาหารพบได้ทั้ง 2 รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น วิตามินเอเรตินอลที่พร้อมใช้งาน และ สารตั้งต้นวิตามินเอที่หลายคนรู้จักในชื่อเบต้าแคโรทีน

          วิตามินเอเรตินอล (Performed vitamin A )พบในอาหารจากเนื้อสัตว์ และพบมากที่สุดในตับ เช่น น้ำมันตับปลา หรือตับไก่ เป็นต้น นอกจากนั้นยังพบในเนื้อปลา (ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ) ไข่ และผลิตภัณฑ์จากนม รวมไปถึงเนย และชีส

          สารต้นต้นวิตามินเอ (Provitamin A cartenoids) พบในอาหารประเภท ผักและผลไม้ ไม่ว่าจะเป็นผักใบเขียว ผลไม้สีเหลืองส้ม ดังที่รู้จักกันดี ว่าแครอทเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ และนอกจากแครอท เบต้าแคโรทีนก็ยังพบได้มันหวาน ผักโขม มะม่วง ส้ม มะเขือเทศ และซีเรียลในอาหารเช้าอีกด้วย

การเลือกผลิตภัณฑ์เสริมวิตามินเอให้กับร่างกาย

          Vitamin A ในอาหารเสริม มีทั้งรูปแบบเฉพาะวิตามินเอ หรือมาในรูปแบบวิตามินเม็ดรวม ซึ่งมักมีวิตามินเออยู่ในวิตามินเม็ดรวมนั้นด้วย วิตามินเอในอาหารเสริมมีทั้งรูปแบบ วิตามินเอเรตินอล และแบบสารตั้งต้นวิตามินเอหรือเบต้าแคโรทีน ซึ่งบนฉลากมักมีระบุรูปแบบและสัดสัวนของรูปแบบวิตามินเอในผลิตภัณฑ์นั้น

          Vitamin A  ยังอยู่ในรูปแบบน้ำมันตับปลา ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ โอเมก้า-3 (Omega-3) และวิตามิน D ซึ่งการทานน้ำมันตับปลาก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ในการเสริมวิตามินเอให้แก่ร่างกาย

          ปริมาณของ Vitamin A ในอาหารเสริมแบบเฉพาะวิตามินเอเดี่ยวๆ นั้น มีปริมาณที่หลากหลายในแต่ละผลิตภัณฑ์ ส่วนปริมาณวิตามินเอในวิตามินรวมมักมีปริมาณ 750 – 3000 ไมโครกรัมของเตรินอล (RAE) โดยพบได้ทั้งรูปแบบเรตินอลและรูปแบบของเบต้าแคโรทีน

          นอกจากนั้นอีกหนึ่งรูปแบบของผลิตภัณฑ์วิตามินเอก็คือ ครีมหรือเซรั่ม Vitamin A ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพผิว ช่วยลดรอยเหี่ยวย่นซึ่งเกิดจากอายุที่มากขึ้น และยังเป็นตัวยาที่สำคัญในการรักษาสิว แต่ข้อควรระวังก็คือการทาวิตามินเออาจะจำทำให้ผิวไวต่อแสงได้ จึงควรร่วมใช้กับครีมกันแดดเสมอ

          และอีกคำถามที่มีหลายคนสงสัย คือทาน Vitamin A ช่วงเวลาไหนดี คำตอบก็คือควรรับประทานหลังอาหาร เนื่องจาก Vitamin Aเป็นวิตามินเอที่ละลายในไขมัน จึงควรรับประทานไปกับอาหารที่มีไขมันเพื่อเพิ่มการดูดซึมของ Vitamin A

ข้อจำกัดสำหรับการเสริมวิตามินเอ

          Vitamin A เป็นเพียงวิตามินไม่กี่ชนิด ที่มีการศึกษาชัดเจนว่าหากได้รับเกินจะมีผลกระทบต่อร่างกาย โดยวิตามินเอที่สูงสุดที่ร่างกายรับได้ในแต่ละวัน [tolerable upper intake level (UL)] เท่ากับ 3,000 ไมโครกรัมของเรตินอล (RAE) ในผู้ใหญ่ที่มีอายุมากว่า 19 ปี ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิง หญิงตั้งครรภ์ หรือหญิงให้นมบุตร หากร่างกายได้รับวิตามินเอมากเกินไป จะทำให้เกินผลกระทบต่อร่างกายได้ วิตามินเอที่ส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อร่างกายคือวิตามินในรูปแบบ วิตามินเอเรตินอล ในทางกลับกัน การได้รับวิตามินเอในรูปแบบเบต้าแคโรทีน หรือสารตั้งต้นวิตามินเออื่นๆ ในปริมาณมาก จะไม่พบการอักเสบของตับ หรือผลกระทบต่อร่างกายอื่นๆ

          การเกิดพิษของ Vitamin A  ขึ้นอยู่กับปริมาณและระยะเวลาที่ได้รับวิตามินเอที่เกินขนาด โดยแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบ ดังนี้

  • พิษอย่างเฉียบพลัน เกิดจากการได้รับปริมาณวิตามินเอจากอาหารหรืออาหารเสริม หรือยาเข้าไปในปริมาณมากๆ พร้อมกันในครั้งเดียว อาการมักพบบ่อยในเด็ก โดยอาการที่พบคือ อาการปวดศีรษะ เวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียน มีอาการตาพร่ามัว สูญเสียการทรงตัวเป็นต้น
ผลกระทบของวิตามินเอเกิน

อาการปวดศีรษะ เวียนหัว ที่เกิดจากการได้รับวิตามินเอเกินขนาดในระยะเวลารวดเร็ว 

  • พิษเรื้อรังที่เกิดจากการสะสมของวิตามินเอในร่างกายต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน มักพบในคนไข้ที่ได้รับการรักษาโรคผิวหนัง ด้วยอนุพันธ์วิตามินเอ ทำให้วิตามินเอที่สะสมในตับมีปริมาณมาก ส่งผลให้เกิดภาวะตับอักเสบ และอาการอื่นๆ เช่น ผิวหนังแห้ง ริมฝีปากแห้งแตก ผมร่วง ปวดตรงกระดูกและข้อ ทำให้เกลือแร่ในกระดูดลดลง เป็นผลทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุน อาการเหล่านี้มักดีขึ้นหลังจากหยุดรับประทานวิตามินเอ

          นอกจากผลกระทบจากเรตินอลวิตามินเอแล้ว การได้รับเบต้าแคโรทีนที่มากเกินไป จะมีผลทำให้เกิดการสะสมของสารเบต้าแคโรทีนที่ผิวหนัง ทำให้เกิดอาการตัวเหลือง ฝ่ามือและฝ่าเท้าเหลือง คล้ายผู้ป่วยดีซ่าน แต่ต่างกันตรงที่ดวงตาของคนที่มีเบต้าแคโรทีนมากผิดปกติจะไม่พบตาเหลือง อาการตัวเหลืองจากเบต้าแคโรทีน ไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย แต่อาจทำให้ดูคล้ายเป็นโรคได้ อาการเหล่านี้จะหายไปเอง เมื่องดอาหารที่มีเบต้าแคโรทีนสูง

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิตามินเอ

          วิตามินเอ (Vitamin A) เป็นหนึ่งในวิตามินที่ละลายในไขมัน มีส่วนสำคัญในการมองเห็น โดยนอนจากนี้แล้ว วิตามินเอยังมีความสำคัญอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวยาสำคัญในการรักษาสิว การป้องกันการเกิดมะเร็ง ความแข็งแรงของกระดูกและฟัน รวมไปถึงความสำคัญอย่างยิ่งในการตั้งครรภ์ เห็นอย่างนี้แล้ว เรามาเรียนรู้ประโยชน์ของวิตามินเอกัน

          การทานอาหารที่มีวิตามินเอไม่เพียงพอนำไปสู่ปัญหาทางสุขภาพมากมายเช่น การมองเห็นที่ผิดปกติในเวลากลางคืน ภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ รวมไปถึงปัญหาสุขภาพผิวเช่นผิวแห้ง หรือการเกิดสิว แต่ในทางกลับกันการทานวิตามินเอในปริมาณที่มากเกินไปก็มีผลเสียต่อสุขภาพ เช่นตัวเหลือง หรือตับอักเสบ ดังนั้นเราควรให้ความสำคัญกับการทานวิตามินเอให้พอเหมาะกับที่ร่างกายต้องการ