น้ำมันปลา


          น้ำมันปลา คือ น้ำมันที่ได้มาจากเนื้อเยื่อของปลาที่มีน้ำมัน โดยจะประกอบด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega 3) ทั้งชนิด Eicosapentaenoic acid (EPA) และ Docosahexaenoic (DHA) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของ Eicosanoids ที่สามารถช่วยลดการอักเสบในร่างกาย และช่วยควบคุมระดับไขมันในเลือดได้

          เราได้รับจากการรับประทานปลาหรืออาหารเสริม ปลาที่อุดมไปด้วยน้ำมันที่มีประโยชน์ซึ่งเรียกว่ากรดไขมันโอเมก้า 3 ได้แก่ ปลาแมคเคอเรล ปลาเฮอริ่ง ปลาทูน่า และปลาแซลมอน

          ในปัจจุบันมีข้อมูลการศึกษาเกี่ยวกับบทบาทของน้ำมันปลาค่อนข้างมาก ทั้งในโรคหลอดเลือดหัวใจ อาการซึมเศร้าทางคลินิก ความวิตกกังวล โรคมะเร็ง และโรคจอประสาทตาเสื่อม

หน้าที่ของน้ำมันปลา

ทำไมเราถึงต้องการน้ำมันปลา ?

          ประโยชน์มากมายของน้ำมันชนิดนี้ มาจากกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่มีอยู่ในนั้น นั่นเอง ที่น่าสนใจคือ ร่างกายของเราไม่ได้ผลิตกรดไขมันโอเมก้า 3 ได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นการเสริมน้ำมันปลาจึงมีประโยชน์ต่อร่างกายได้ ประโยชน์ของน้ำมันปลาได้แก่

 

ลดระดับไขมัน ที่เรียกว่าไตรกลีเซอไรด์ในเลือด (Triglyceride)

งานวิจัยส่วนใหญ่แสดงให้เห็นว่าน้ำมันปลาสามารถลดระดับไตรกลีเซอไรด์ได้ 20% ถึง 50%

 

ช่วยเรื่องการเปิดหลอดเลือดอุดตันหรือตีบ (angioplasty)

การวิจัยชี้ให้เห็นว่าน้ำมันปลาช่วยลดอัตราการอุดตันของหลอดเลือดใหม่ได้ถึง 45% เมื่อได้รับอย่างน้อย 3 สัปดาห์ก่อนการทำ angioplasty และรับประทานต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือนหลังจากนั้น

 

การเปิดหลอดเลือดอุดตันหรือตีบ

น้ำมันปลาช่วยลดอัตราการอุดตันของหลอดเลือดใหม่ในผู้ที่เปิดหลอดเลือดอุดตันหรือตีบ (angioplasty)

          Fish oil ยังดูช่วยปรับปรุงการทำงานของไตในช่วงพักฟื้นหลังจากการปฏิเสธอวัยวะที่ปลูกถ่ายในผู้ที่รับประทานยาไซโคลสปอริน

ลดการปวดประจำเดือน

          การวิจัยแสดงให้เห็นว่าการรับประทานน้ำมันปลาเพียงอย่างเดียวหรือรับประทานร่วมกับ วิตามินบี 12 หรือ วิตามินอี สามารถลดความปวดและลดความจำเป็นในการกินยาแก้ปวดในหญิงปวดประจำเดือนได้

โรคหัวใจล้มเหลว

          การรับประทานน้ำมันนี้เสริมในปริมาณมากเพียงพอ สามารถช่วยเสี่ยงที่ลดความเสี่ยงของภาวะหัวใจล้มเหลวได้ เช่น การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือการเสียชีวิตในผู้ที่เป็นโรคหัวใจล้มเหลว

ความดันโลหิตสูง

          น้ำมันปลาดูเหมือนจะลดความดันโลหิตลงเล็กน้อยในผู้ที่มีความดันโลหิตปานกลางถึงสูงมากได้

ภาวะเสี่ยงต่อโรคไต (Nephropathy)

          งานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าการใช้น้ำมันปลาในระยะยาว สามารถชะลอการสูญเสียการทำงานของไตในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงที่เป็นโรคไต

การสะสมของไขมันในตับ (NAFLD)

          งานวิจัยส่วนใหญ่แสดงให้เห็นว่าน้ำมันของปลา อาจลดไขมันในตับและปรับปรุงสุขภาพตับในผู้ที่มีโรค NAFLD

ความผิดปกติทางจิตที่มีภาพหลอนและอาการหลงผิด (โรคจิต)

          งานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าการเสริมน้ำมันชนิดนี้ อาจช่วยป้องกันอาการป่วยทางจิต ในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ รวมถึงในวัยหนุ่มสาวที่มีอาการเล็กน้อยได้

โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (RA)

          การรับประทานน้ำมันนี้เพียงอย่างเดียว หรือรับประทานร่วมกับยานาพรอกเซน ดูเหมือนจะช่วยให้อาการของโรค RA ดีขึ้นได้ สามารถลดการใช้ยาแก้ปวด ลดข้อต่อบวมอักเสบ

ปริมาณของน้ำมันปลาที่ร่างกายต้องการต่อวัน

สำหรับผู้ที่มีไขมันในระดับสูง หรือที่เรียกว่าไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง (hypertriglyceridemia)

          แนะนำให้รับประทาน Fish oil ที่ให้กรดไขมันโอเมก้า 3 ประมาณ 3.5 กรัมต่อวัน

สำหรับการเปิดหลอดเลือดอุดตันหรือตีบ (angioplasty)

          แนะนำรับประทานน้ำมันปริมาณ 6 กรัมต่อวัน โดยเริ่มก่อนประมาณ 1 เดือนก่อนการทำ angioplasty และรับประทานต่อไปอีก 1 เดือนหลังจากนั้น

สำหรับผู้ที่มีการทำงานของไตบกพร่องที่เกิดจากยา cyclosporine

          ใช้น้ำมันปลา 12 กรัมต่อวันเป็นเวลา 2 เดือนหลังการปลูกถ่ายตับ หรืออาจรับประทานในปริมาณ 6 กรัมต่อวันเป็นเวลา 3 เดือนหลังการปลูกถ่ายไต

สำหรับอาการปวดประจำเดือน

          ใช้ EPA 1080 มิลลิกรัม และ DHA 720 มิลลิกรัม ต่อวันพร้อมกับวิตามินอี 1.5 มิลลิกรัม ต่อวันเป็นเวลา 2 เดือน หรืออาจใช้น้ำมันชนิดนี้ในปริมาณ 500-2500 มิลลิกรัม ทุกวันเป็นเวลา 2-4 เดือน

สำหรับภาวะหัวใจล้มเหลว

          แนะนำใช้กรดไขมันโอเมก้า 3 ปริมาณ 600 ถึง 4300 มิลลิกรัมต่อวัน นานถึง 12 เดือน หรืออาจใช้น้ำมันปลา 1 กรัมต่อวันเป็นเวลาประมาณ 3 ปี

สำหรับความดันโลหิตสูง

          Fish oil ในปริมาณ 4 ถึง 15 กรัมต่อวัน รับประทานครั้งเดียวต่อวันหรือแบ่งทาน นานถึง 36 สัปดาห์ หรืออาจใช้กรดไขมันโอเมก้า 3 ในปริมาณ 3-15 กรัมทุกวันเป็นเวลา 4 สัปดาห์

สำหรับเสี่ยงต่อโรคไต (Nephropathy)

          ใช้น้ำมันปลา 1-12 กรัมต่อวันเป็นเวลา 2-4 ปี หรือใช้ Fish oil 3 กรัมร่วมกับยาที่เรียกว่า renin-angiotensin system blocker (RASB) ทุกวันเป็นเวลา 6 เดือน

การสะสมของไขมันในตับ (NAFLD)

          สามารถใช้กรดไขมันโอเมก้า 3 เช่น น้ำมันปลา ในปริมาณ 2.7 กรัมต่อวัน เป็นเวลาเฉลี่ย 6 เดือน

สำหรับความผิดปกติทางจิตที่มีอาการประสาทหลอนและอาการหลงผิด (โรคจิต)

          ควรรับประทาน Fish oil ที่มี EPA 700 มิลลิกรัม และ DHA 480 มิลลิกรัม ผสมกับวิตามินอีและกรดไขมันโอเมก้า 3 อื่นๆ ทุกวันเป็นเวลา 12 สัปดาห์

สำหรับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (RA)

          แนะนำ Fish oil 10 กรัมทุกวันเป็นเวลา 6 เดือนหรือน้ำมันที่มี EPA 0.5-4.6 กรัมและ DHA 0.2-3.0 กรัม และอาจเสริมควบคู่ไปกับมีวิตามินอี 15 IU ทุกวัน ได้นานถึง 15 เดือน

          สำหรับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (RA) มีการใช้กรดไขมันโอเมก้า 3 ในรูปแบบฉีดเข้าหลอดเลือดในปริมาณ 0.1-0.2 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ทุกวัน เป็นเวลา 7 วัน นอกจากนี้ อาจใช้น้ำมันปลาเฉพาะชนิด 0.2 กรัมต่อกิโลกรัม ทุกวันเป็นเวลา 14 วันติดต่อกัน ตามด้วยน้ำมันปลา 0.05 กรัม ให้ด้วยการรับประทาน ทุกวันเป็นเวลา 20 สัปดาห์

สัญญาณเตือนเมื่อร่างกายขาดน้ำมันปลา

        Omega-3 ที่มีอยู่ในน้ำมันปลา หมายถึงกลุ่มของกรดไขมันสามชนิดที่ร่างกายต้องการซึ่งมาจากไขมันสัตว์และพืช เหล่านี้คือ “ไขมันดี” แบ่งได้ดังนี้

  1. Alpha-linolenic acid (ALA) กรดนี้มาจากน้ำมันพืชเป็นหลัก และร่างกายของเราไม่สามารถผลิตได้ เราต้องบริโภค ALA ในอาหารหรืออาหารเสริมเพื่อให้ได้ปริมาณที่เหมาะสม
  2. Eicosapentaenoic (EPA) กรดนี้มาจากไขมันสัตว์และมีความสำคัญต่อสุขภาพทางระบบประสาทและหลอดเลือดหัวใจ
  3. Docosahexaenoic acid (DHA) มาจากแหล่งของสัตว์และจำเป็นต่อสุขภาพของสมองและหัวใจ แม้กระทั่งในพัฒนาการของทารกในครรภ์

          ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่ร่างกายของเราได้รับกรดไขมันโอเมก้า 3 ไม่เพียงพอ อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่สำคัญอื่นๆตามมาได้

ปัญหาผิว ผม และเล็บ

          โอเมก้า 3 เป็นตัวช่วยสร้างผนังเซลล์ขึ้น เมื่อร่างกายมีระดับต่ำสารนี้ต่ำเกินไป อาจทำให้ผิวแห้ง ผมเปราะ และเล็บบาง ลอกและแตกได้ นอกจากนี้การขาดโอเมก้า 3 อาจทำให้เกิดผื่นที่ผิวหนังและรังแคได้เช่นกัน

ความเหนื่อยล้าและนอนไม่หลับ

          การระบุสาเหตุของปัญหาการนอนหลับอาจเป็นเรื่องยากมาก เนื่องจากมีหลายสิ่งหลายอย่างที่อาจส่งผลต่อปัญหาได้ แต่การขาดโอเมก้า 3 อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุของปัญหา การเพิ่มระดับกรดไขมันโอเมก้า 3 สามารถช่วยปรับปรุงปริมาณและคุณภาพของการนอนหลับที่ได้อย่างมาก โดยเมื่อเราได้พักผ่อนอย่างมีคุณภาพแล้ว จะเห็นได้ว่าส่งผลประโยชน์ต่อสุขภาพอีกมากมายเช่นกัน

ขาดสมาธิและความเอาใจใส่

ระดับกรดไขมันจำเป็นที่ต่ำกว่ามาตรฐานมีส่วนทำให้เกิดปัญหากับความจำและการมีสมาธิ และอาจนำไปสู่ความหงุดหงิดและวิตกกังวลได้เช่นกัน เด็กและผู้ใหญ่ที่ดูเหมือนจะโกรธอย่างรวดเร็วโดยไม่มีเหตุผลอาจเกิดจากการขาดโอเมก้า 3         

ปวดข้อและปวดขา

          โอเมก้า 3 ที่ได้จากน้ำมันปลามีคุณสมบัติต้านการอักเสบได้ดีเยี่ยม ช่วยลดอาการบวมและอักเสบในข้อต่อและทั่วร่างกายได้ หากยังไม่มีอาการปวดข้อ การรับประทานโอเมก้า 3 อย่างเหมาะสมก็สามารถป้องกันความเสียหายที่ก่อให้เกิดอาการปวดได้

อาการภูมิแพ้ ลมพิษ โรคหอบหืด

          อาการเหล่านี้ล้วนบ่งบอกถึงระดับโอเมก้า 3 ที่ลดลงเช่นกัน

และความกังวลเกี่ยวกับโรคหัวใจและหลอดเลือด

          มีงานวิจัยชี้ชัดเจนว่าโอเมก้า 3 มีความสำคัญต่อสุขภาพของหัวใจ การเพิ่มปริมาณสารอาหารที่สำคัญนี้ ป้องกันโรคหัวใจและช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลได้

รอบประจำเดือนในผู้หญิง

          ผู้หญิงที่มีประจำเดือนมาพร้อมกับอาการปวดท้องอย่างรุนแรง การรับประทานโอเมก้า 3 อาจช่วยบรรเทาอาการปวดได้

แหล่งอาหารที่อุดมด้วยน้ำมันปลา

          ตามที่ได้กล่าวไปว่า Fish oil ได้มาจากน้ำมันของปลา แต่แท้จริงแล้วปลาที่ใช้เป็นแหล่งของน้ำมันปลานี้ ไม่ได้ผลิตกรดไขมันโอเมก้า 3 ได้ด้วยตัวเอง แต่กรดไขมันโอเมก้า 3 จะถูกสะสมโดยการที่ปลาบริโภคสาหร่ายขนาดเล็กหรือปลาเหยื่อ ที่สะสมกรดไขมันโอเมก้า 3 ไว้

          ปลานักล่าที่มีไขมันสูง เช่น ฉลาม ปลานาก ปลาไทล์ฟิช และปลาทูน่าอัลบาคอร์อาจมีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง แต่เนื่องจากตำแหน่งที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร ปลาเหล่านี้จึงอาจมีปริมาณสารพิษสะสมสูง ด้วยเหตุนี้ สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกาจึงแนะนำให้จำกัดการรับประทานปลาบางชนิดที่กินสัตว์อื่นเป็นอาหาร โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ ปลาเหล่านั้น ได้แก่ ปลาทูน่าอัลบาคอร์ ฉลาม ปลาแมคเคอเรล ปลาไทล์ และปลานาก เป็นต้น เนื่องจากมีสารปนเปื้อน ปรอท ไดออกซิน พีซีบี และคลอร์เดน ตลอดจนยาฆ่าแมลงคลอรีนไซโคลดีอีน อื่นๆ ในระดับสูง

          Fish oil จากปลาทะเลและจากปลาน้ำจืดมีปริมาณกรด EPA และ DHA ที่แตกต่างกัน ปลาแต่ละชนิดก็มีปริมาณน้ำมันในเนื้อเยื่อที่แตกต่างกันออกไป ตั้งแต่ปริมาณ 0.7% ถึง 15.5%

ปลาแมคเคอเรล

ขนาด: 3 ออนซ์ (100 กรัม)

ปริมาณไขมันโอเมก้า 3: 2.5–2.6 กรัม

แซลมอน

ขนาด: 3 ออนซ์ (100 กรัม)

ปริมาณไขมันโอเมก้า-3: 1.8 กรัม

ปลาเฮอริ่ง

ขนาด: 3 ออนซ์ (100 กรัม)

ปริมาณไขมันโอเมก้า 3: 1.3–2 กรัม

ทูน่า (บลูฟิน)

ขนาด: 3 ออนซ์ (100 กรัม)

ปริมาณไขมันโอเมก้า 3: 1.2 กรัม

ทะเลสาบเทราท์

ขนาด: 3 ออนซ์ (100 กรัม)

ปริมาณไขมันโอเมก้า 3: 2 กรัม

กุ้งเคย

ขนาด: 3 ออนซ์ (100 กรัม)

ปริมาณไขมันโอเมก้า 3: 1.4 กรัม

ปลาทูน่า (อัลบาคอร์)*

ขนาด: 3 ออนซ์ (100 กรัม)

ปริมาณไขมันโอเมก้า 3: 1.5 กรัม

ปลากระพงขาว (น้ำจืด)

ขนาดร: 3 ออนซ์ (100 กรัม)

ปริมาณไขมันโอเมก้า 3: 1.5 กรัม

บลูฟิช

ขนาด: 3 ออนซ์ (100 กรัม)

ปริมาณไขมันโอเมก้า 3: 1.2 กรัม

Halibut

ขนาด: 3 ออนซ์ (100 กรัม)

ปริมาณไขมันโอเมก้า 3: 0.9 กรัม

ปลากะพง

ขนาด: 3 ออนซ์ (100 กรัม)

ปริมาณไขมันโอเมก้า 3: 0.8 กรัม

ปลากะพงขาว (พันธุ์ผสม)

ขนาด: 3 ออนซ์ (100 กรัม)

ปริมาณไขมันโอเมก้า 3: 0.65 กรัม

ทูน่าเนื้อขาวกระป๋อง

ขนาด: 3 ออนซ์เนื้อ

ปริมาณไขมันโอเมก้า 3: 0.5 กรัม

*มีสารปรอทในระดับสูง จำกัดปริมาณการกิน

เสริมน้ำมันปลา เลือกอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงที่สุด

          แม้ว่า Fish oil จะหาซื้อได้ง่ายในร้านค้าเพื่อสุขภาพและร้านขายยา รวมไปถึงทางออนไลน์ แต่อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร ก่อนเริ่มรับประทาน

          นอกจากจะดูปริมาณของน้ำมันปลา กรดไขมันโอเมก้า 3 แล้ว ควรมองหาส่วนผสมเพิ่มเติม เช่น สารตัวเติม สารยึดเกาะ และสารปรุงแต่งรส ด้วย

          อาหารเสริม Fish oil ที่เลือก ควรได้รับรับรองจากองค์กร เช่นองค์การอาหารและยา (อย) แม้ว่าตรารับรองนี้อาจไม่สามารถรับประกันว่าน้ำมันปลาจะปลอดภัยหรือจะได้ผล แต่ก็รับประกันได้ว่าจะไม่มีสารปนเปื้อนในระดับที่เป็นอันตรายและผลิตภัณฑ์มีส่วนผสมที่ระบุไว้บนฉลาก

          อีกวิธีหนึ่งที่สามารถดูได้ว่า น้ำมันชนิดนี้มีคุณภาพสูง ก็คือการได้กลิ่นและรสชาติ Fish oil ไม่ควรมีกลิ่นหรือรส "คาว" หากเป็นเช่นนั้น แสดงว่าผลิตภัณฑ์เริ่มเสื่อมและเหม็นหืน และกลิ่นที่แรงกว่าปกติ อาจเป็นสัญญาณว่ามีการเพิ่มรสชาติเทียมลงในผลิตภัณฑ์

          แน่นอนว่าแหล่งกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ดีที่สุดมาจากปลา โดยเฉพาะปลาธรรมชาติที่กินสาหร่ายที่อุดมด้วยโอเมก้า 3 เป็นจำนวนมาก ปลาขนาดเล็ก เช่น ปลาเฮอริ่ง ปลาแมคเคอเรล ปลาแซลมอน และปลาซาร์ดีน เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าปลาขนาดใหญ่และปลาที่เลี้ยงในฟาร์ม ซึ่งอาจสะสมสารพิษในเนื้อเยื่อ รวมถึงสารปรอท โพลีคลอริเนต ไบฟีนิล (PCBs) ไดออกซิน และสารกำจัดศัตรูพืชตกค้างได้

ข้อจำกัดสำหรับการเสริมน้ำมันปลา

          เด็กสามารถรับประทานน้ำมันปลาได้ในปริมาณที่เหมาะสม มีข้อมูลการใช้ Fish oil ว่าสามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยในทารก ได้ยาวนานถึง 9 เดือน แต่เด็กเล็กไม่ควรรับประทานน้ำมันปลาเกินสองออนซ์ต่อสัปดาห์ น้ำมันปลานี้ยังปลอดภัยเมื่อให้ทางหลอดเลือดดำแก่ทารกที่ไม่สามารถรับประทานอาหารทางปากได้

          ในวัยรุ่น มีการใช้น้ำมันปลาในปริมาณสูงถึง 2.2 กรัมต่อวัน เป็นเวลา 12 สัปดาห์

          ในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร น้ำมันปลาค่อนข้างปลอดภัยเมื่อรับประทานอย่างเหมาะสม แต่ควรหลีกเลี่ยงน้ำมันปลาจากปลาฉลาม ปลานาก ปลาแมคเคอเรล และปลาไทล์ฟิช (เรียกอีกอย่างว่าปลากะพงทองหรือปลากะพงทอง) เนื่องจากปลาเหล่านี้อาจมีสารปรอทอยู่ในระดับสูง

          ในผู้ที่มีโรคปะจำตัว อาจจำเป็นต้องระมัระวังในการรับประทาน ดังนี้

  • โรคไบโพลาร์ อาการซึมเศร้า การรับประทานน้ำมันปลาอาจเพิ่มอาการบางอย่างของภาวะนี้ได้
  • โรคตับ น้ำมันปลาอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการตกเลือดในผู้ที่มีแผลเป็นที่ตับเนื่องจากโรคตับ
  • โรคเบาหวาน การรับประทานน้ำมันปลาในปริมาณมากอาจทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ยากขึ้น
  • ความดันโลหิตสูง น้ำมันปลาสามารถลดความดันโลหิต แต่อาจทำให้ความดันโลหิตลดลงต่ำเกินไปในผู้ที่ได้รับยาลดความดันโลหิต
  • โรคเอชไอวี/เอดส์ และภาวะอื่นๆ ที่การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันลดลง การได้รับน้ำมันปลาในปริมาณสูง สามารถลดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ จึงอาจเป็นปัญหาสำหรับผู้ที่ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแออยู่แล้ว
  • ผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจแบบฝัง การเสริมอาจเพิ่มความเสี่ยงของการเต้นของหัวใจผิดปกติในผู้ป่วยที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ
  • ผู้ที่แพ้ปลาหรืออาหารทะเล อาจแพ้อาหารเสริมน้ำมันปลาได้ จึงแนะนำให้ผู้ที่แพ้อาหารทะเลหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันปลา หรือควรใช้อย่างระมัดระวัง

          และเนื่องจากน้ำมันปลา สกัดมากจากน้ำมันของปลา ดังนั้นน้ำมันนี้อาจไม่ปลอดภัย หากรับประทานจากแหล่งอาหารที่มีสารพิษ เช่น ปรอท การรับประทานปลาที่ปนเปื้อนบ่อยๆ อาจทำให้สมองถูกทำลาย ปัญญาอ่อน ตาบอด และชักได้

น้ำมันปลา กับคำถามน่ารู้

ร่างกายของเราต้องการโอเมก้า 3 มากแค่ไหน?

          สมาคม American Heart Association แนะนำให้ผู้ที่ไม่มีประวัติโรคหัวใจกินปลาอย่างน้อย 2 มื้อต่อสัปดาห์ (รวม 6-8 ออนซ์) ซึ่งควรรวมถึงปลาหลากหลายชนิด เช่น ปลาแมคเคอเรล ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน และปลาเฮอริ่ง ซึ่งมีกรดไขมันโอเมก้า 3 ในปริมาณสูง

          หากมีประวัติเป็นโรคหัวใจ แนะนำให้เสริม EPA และ DHA วันละ 1 กรัม

          หากมีระดับไตรกลีเซอไรด์สูง โดยทั่วไปแนะนำให้เสริม EPA และ DHA 2-4 กรัม ทุกวันสำหรับผู้ป่วยที่มีระดับไตรกลีเซอไรด์สูง ซึ่งผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าระดับไตรกลีเซอไรด์ลดลง 25 ถึง 35 เปอร์เซ็นต์

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับน้ำมันปลา

          น้ำมันปลา (Fish oil) เป็นหนึ่งในอาหารเสริมที่นิยมรับประทานกันมาก ประโยชน์ น้ำมันปลา (Fish oil) ที่อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega 3) ซึ่งมีความสำคัญต่อสุขภาพ ทั้งในด้านสุขภาพหัวใจ รักษาความผิดปกติทางจิตใจ ลดน้ำหนัก สุขภาพตา ลดการอักเสบของร่างกาย ประโยชน์ต่อผิว ประโยชน์ต่อคุณแม่ตั้งครรภ์ และเด็กเล็ก ลดไขมันในตับ รักษาโรคสมาธิสั้นในเด็ก ประโยชน์ น้ำมันปลาต่อการป้องกันอาการสมองเสื่อม ประโยชน์ต่ออาการหอบหืดและความเสี่ยงต่อภูมิแพ้ และช่วยบำรุงกระดูก