9 อาหารเสริมลดน้ำหนักที่เป็นที่นิยมใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆเพื่อช่วยในการลดน้ำหนัก
อาหารเสริมลดน้ำหนัก ประเภทต่างๆ สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลไกหลัก คือ
- อาหารเสริมลดน้ำหนัก โดยลดความอยากอาหาร ทำให้คุณอิ่มมากขึ้น รับประทานอาหารได้ลดลง
- อาหารเสริมลดน้ำหนัก โดยลดการดูดซึมสารอาหารบางอย่าง เช่น ไขมัน ทำให้ร่างกายได้รับแคลอรีน้อยลง
- อาหารเสริมลดน้ำหนัก โดยเพิ่มการเผาผลาญไขมัน ทำให้เผาผลาญแคลอรีมากขึ้น
ลดน้ำหนัก เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่หลายๆคนมักเจอบ่อยๆ วิธีที่ดีที่สุดที่สามารถช่วยลดน้ำหนักได้อย่างยั่งยืนนั่นคือ การออกกำลังกาย และการเลือกรับประทานอาหารอย่างเหมาะสม แต่อย่างไรก็ตาม อาหารเสริมลดน้ำหนักก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวช่วย ทำให้การลดน้ำหนักของคุณง่ายยิ่งขึ้น
ปัจจุบันมีอาหารเสริมลดน้ำหนัก หลากหลายชนิด หลายแบรนด์ โดยอาหารเสริมลดน้ำหนักแต่ละแบรนด์ก็มีส่วนประกอบของสารต่างๆ ที่แตกต่างกันออกไปทั้งชนิด และปริมาณ
เรามาทำความเข้าใจกับกลไกของอาหารเสริมลดน้ำหนักแต่ละชนิด ว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายเพื่อช่วยในการลดหน้ำหนักได้อย่างไรบ้าง และอาหารเสริมลดน้ำหนักแต่ละชนิด มีผลข้างเคียง หรือข้อควรระวังอย่างไรบ้าง เพื่อให้การเลือกเสริมอาหาร เสริม ลดน้ำหนัก ของคุณมีความปลอดภัยสูงที่สุด
ออริสแตท (Orlistat)
ยาลดน้ำหนักที่มีประสิทธิภาพดี
และถูกนำมาใช้ทางด้านการรักษาเรื่องการลดความอ้วน
ออริสแตท (Orlistat) คืออะไร
ออริสแตท (Orlistat) เป็นยาที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยสำหรับการลดน้ำหนัก สำหรับผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกิน (อายุ 18 ปีขึ้นไป) ใช้เสริมร่วมกับการรับประทานอาหารที่มีแคลอรีและมีไขมันต่ำ Orlistat เป็นยาที่ออกแบบมาเพื่อรักษาโรคอ้วน หน้าที่หลักคือป้องกันการดูดซึมไขมันจากอาหารของมนุษย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ร่วมกับอาหารลดแคลอรี่
ออริสแตท (Orlistat) ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างไร
กลไกการออกฤทธิ์ของยา Orlistat คือไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการย่อยไขมันชื่อว่า “ไลเปส” ที่อยู่ในกระเพาะอาหารและตับอ่อน โดยไลเปสทำหน้าที่ไฮโดรไลซ์ไตรกลีเซอไรด์ให้เป็นกรดไขมันอิสระและโมโนกลีเซอไรด์ เมื่อยาไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไลเปส จึงทำให้ลำไส้ไม่สามารถดูดซึมไขมันเข้าสู่ร่างกายได้ ไตรกลีเซอไรด์จึงถูกขับออกทางอุจจาระแทน
Orlistat สามารถยับยั้งการดูดซึมไขมันในอาหารได้ประมาณ 30% ในการศึกษา โดยให้ orlistat 60 มิลลิกรัม เป็นเวลา 16 สัปดาห์ ส่งผลให้น้ำหนักลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับยาหลอก นอกจากนี้ ยังช่วยลดไขมันในช่องท้อง หลังจากใช้ต่อไปเป็น 24 สัปดาห์ และยังมีแนวโน้มที่ยาสามารถจะลดไขมันในตับได้อีกด้วย
ต้องรับประทาน ออริสแตท (Orlistat) ในปริมาณเท่าใด
ปริมาณที่แนะนำเพื่อใช้เป็นอาหารเสริมลดน้ำหนักของยา Orlistat คือขนาด 60 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหารมื้อหลัก โดยอาหารมื้อนั้นๆอาจมีไขมันอยู่ระหว่าง 12 ถึง 18 กรัม ซึ่งยาจะช่วยยับยั้งการดูดซึมไขมันในอาหารได้ประมาณ 30% หรืออาจจะรับประทานหลังอาหารไม่เกิน 1 ชั่วโมง และเนื่องจากยายับยั้งการดูดซึมไขมันได้ถึง 30% หากคุณไม่ได้รับประทานอาหาร ก็ไม่ควรรับประทานยา
ผลข้างเคียง และข้อควรระวังในการใช้ ออริสแตท (Orlistat) ในการช่วยลดน้ำหนัก
เนื่องจากการดูดซึมของยาออริสแตท (Orlistat) เข้าสู่ร่างกายมีน้อย จึงมีผลข้างเคียงน้อยมาก ผลข้างเคียงที่พบบ่อยคือระบบทางเดินอาหาร ที่เกิดจากปริมาณไขมันในทางเดินอาหารที่เพิ่มขึ้น ผลกระทบเหล่านี้ทำให้มีการถ่ายอุจจาระเพิ่มขึ้น อุจจาระมีน้ำมัน อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง และอาการจะดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป โดยปกติจะใช้เวลาไม่เกิน 4 สัปดาห์
เนื่องจากกลไกการทำงานของ Orlistat ทำให้การดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมันของร่างกายได้ลดลง (วิตามินเอ, วิตามินดี, วิตามินอี และวิตามินเค) สิ่งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากยาออริสแตท ยับยั้งการทำงานของไลเปส ดังนั้นควรแน่ใจว่าคุณจะได้รับวิตามินได้อย่างเพียงพอต่อความจำเป็นของร่างกาย และแนะนำให้แยกเวลาในการรับประทานอาหารเสริมวิตามินรวมที่มีวิตามินที่ละลายในไขมันกับยาออริสแตท เพื่อให้แน่ใจว่าได้รับวิตามินที่เพียงพอ โดยรับประทาน Orlistat และวิตามินที่ละลายในไขมัน ห่างกันอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
ในผู้ที่รับประทานยากันชัก ยาวาร์ฟาริน ซึ่งเป็นยาในกลุ่มยาต้านการแข็งตัวของเลือด ควรรับคำแนะนำจากแพทย์ เนื่องจากยา Orlistat ส่งผลให้มีการดูดซึมวิตามินเคลดลง
และในผู้ที่เป็นโรคเบาหวานที่กำลังใช้ Orlistat การลดน้ำหนักอาจเพิ่มความเสี่ยงของน้ำตาลในเลือดลดลง ควรระวังสัญญาณของน้ำตาลในเลือดต่ำ เช่น เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ รู้สึกอ่อนแรง เหงื่อออก หรือ หัวใจเต้นเร็ว Orlistat ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์
สารสกัดจากผลส้มแขก (Garcinia Cambogia Extract)
สมุนไพร ลดน้ำหนักที่ได้รับความนิยมและถูกบรรจุอยู่ในโปรแกรม ลดน้ำหนักมากมาย
สารสกัดจากผลส้มแขก (Garcinia Cambogia Extract) คืออะไร
สารสกัดจากผลส้มแขก เป็นสารสกัดจากผลไม้ชนิดหนึ่งที่เรียกว่าส้มแขก เป็นต้นไม้ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ที่ปลูกในอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปลือกผลไม้มีสารเคมีที่เรียกว่ากรดไฮดรอกซีซิตริก (Hydroxy citric acid: HCA) การวิจัยในห้องปฏิบัติแนะนำว่า HCA สามารถป้องกันการสะสมไขมัน ควบคุมความอยากอาหาร ช่วยทำให้น้ำหนักลดได้ สารสกัดจากผลส้มแขกจึงเหมือนเป็นการใช้สมุนไพร ลดน้ำหนักชนิดหนึ่ง
สารสกัดจากผลส้มแขก (Garcinia Cambogia Extract) ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างไร
สารสกัดจากผลส้มแขก (Garcinia Cambogia Extract) ที่เรียกว่ากรดไฮดรอกซีซิตริก (Hydroxy citric acid: HCA) สามารถช่วยในการลดน้ำหนักได้ โดยไปยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า ATP Citrate Lyase ที่เกี่ยวข้องกับการย่อยสลายน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว (น้ำตาลกลูโคส) ช่วยยับยั้งการนำน้ำตาลจากอาหารประเภท แป้ง ข้าว และน้ำตาล ไม่ให้เปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมตามร่างกาย โดยจะนำไปใช้เป็นพลังงานของร่างกายแทน พอร่างกายของเรามีน้ำตาลในกระแสเลือดมากเพียงพอ จะทำให้ร่างกายไม่รู้สึกหิว ทำให้ใช้ลดความอยากอาหารได้ จึงเป็นหนึ่งในอาหารเสริมลดน้ำหนักที่ได้รับความนิยม และมักผสมอยู่ในอาหารเสริม ลดน้ำหนัก ในโปรแกรม ลดน้ำหนักหลายๆที่
นอกจากนี้สารสกัดจากผลส้มแขกยังช่วยกระตุ้นการนำน้ำตาลไปสะสมเป็นพลังงานสำรองในรูปของไกลโคเจน ที่ตับ ทำให้ร่างกายรับรู้ว่ามีพลังงานสำรองเพียงพอ ทำให้ไม่รู้สึกหิว และยังมีผลไปกระตุ้น ให้มีการดึงเอาไขมันที่สะสมออกมาใช้เป็นพลังงาน ทำให้ไขมันที่สะสมอยู่ลดลง
และมีการศึกษาพบว่า สารสกัดจากผลส้มแขกยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเอ็นไซม์คาร์นิทีน เอซิล ทรานสเฟอร์เรส (Carnitine Acyl Transferase) ที่จะส่งผลในการเร่งการสลายไขมันสะสม ที่มีอยู่ในร่างกายให้สลายออกไปเป็นพลังงานอีกด้วย
ต้องรับประทาน สารสกัดจากผลส้มแขก (Garcinia Cambogia Extract) ในปริมาณเท่าใด
สารสกัดของอาหารเสริมลดน้ำหนักจากผลส้มแขก มีหลากหลายรูปแบบ ทั้งชนิดเม็ด แคบซูล และผง ในท้องตลาดทั่วไปมีทั้ง ขนาด 300 มิลลิกรัม และขนาด 600 มิลลิกรัม โดยให้ปริมาณ HCA 60-70%
แต่ถ้าเป็นผลส้มแขกทั่วไปที่นำไปบดแห้ง บรรจุแคปซูล โดยไม่ได้ผ่านการสกัด จะมีปริมาณ HCA ประมาณ 30% เท่านั้น
โดยวิธีการรับประทาน อาหารเสริมลดน้ำหนักสารสกัดส้มแขก ให้รับประทานครั้งละ 1,000-1,200 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหารประมาณ 1 ชั่วโมง
ผลข้างเคียง และข้อควรระวังในการใช้ สารสกัดจากผลส้มแขก (Garcinia Cambogia Extract) ในการช่วยลดน้ำหนัก
- ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยแต่ไม่รุนแรง ได้แก่ อาการคลื่นไส้ ไม่สบายทางเดินอาหาร และปวดศีรษะ
- ไม่แนะนำให้ใช้ในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร เนื่องจากไม่มีข้อมูลที่เชื่อถือได้เพียงพอที่จะทราบว่าส้มแขกหรือสารเคมีที่พบในส้มแขกที่เรียกว่ากรดไฮดรอกซีซิตริก ปลอดภัยต่อการใช้เมื่อตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
- ไม่แนะนำให้ใช้ใน ผู้ที่เป็นโรคอารมณ์สองขั้ว เนื่องจากสารสกัดจากผลส้มแขกอาจทำให้อาการแย่ลงได้
- ไม่แนะนำในผู้เป็นโรคตับ เนื่องจากอาจทำให้ตับทำงานหนัก และทำงานแย่ลงได้
นอกจากนี้ กรดไฮดรอกซีซิตริก (HCA) ซึ่งเป็นสารเคมีในส้มแขก อาจส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดและทำให้เลือดแข็งตัวช้า อาจทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและเลือดออกได้ยากขึ้น ในระหว่างและหลังการผ่าตัด ดังนั้นแนะนำให้หยุดใช้ HCA อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัดตามกำหนด
CLA (Conjugated Linoleic Acid)
กรดไขมันชนิดหนึ่งที่ใช้สำหรับเป็นอาหารเสริมลดน้ำหนักได้
CLA (Conjugated Linoleic Acid) คืออะไร
กรดไลโนเลอิก (Linoleic acid) เป็นกรดไขมันโอเมก้า 6 ที่พบได้บ่อยที่สุดในน้ำมันพืช แต่ยังพบในอาหารอื่นๆ อีกหลายชนิดแต่พบได้ในปริมาณที่น้อยกว่า ส่วนคำนำหน้า “คอนจูเกต” “Conjugated” เกี่ยวข้องกับการจัดเรียงพันธะคู่ในโมเลกุลกรดไขมัน ความแตกต่างระหว่างรูปแบบการจัดเรียงพันธะคู่เหล่านี้ มีผลต่อการเกิดประโยชน์ หรือโทษต่อร่างกายของเราได้
CLA เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนชนิดหนึ่ง กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือไขมันทรานส์ แต่เป็นไขมันทรานส์ตามธรรมชาติที่พบในอาหารหลายชนิด ซึ่งมีความแตกต่างจากไขมันทรานส์ที่ผลิตทางอุตสาหกรรม ที่โดยไขมันทรานส์ที่ผลิตทางอุตสาหกรรม มักเป็นอันตรายเมื่อบริโภคในปริมาณมาก
CLA สามารถพบได้ใน เนื้อสัตว์และนมของสัตว์เคี้ยวเอื้อง เช่น วัว แพะ และแกะ ซึ่งอาหารแต่ละชนิดก็มีปริมาณ CLA แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสิ่งที่สัตว์เหล่านั้นกิน ตัวอย่างเช่น ปริมาณ CLA ในเนื้อวัวและผลิตภัณฑ์นมจากวัวที่เลี้ยงด้วยหญ้า จะสูงกว่าโคที่เลี้ยงด้วยธัญพืช 300–500%
โดยปกติแล้วเราส่วนใหญ่มักจะได้รับ CLA บางส่วนผ่านทางการรับประทานอาหารโดยทั่วไปในแต่ละวันแล้ว โดยปริมาณเฉลี่ย CLA ที่เราได้รับ จากงานวิจัยของประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ประมาณ 151 มิลลิกรัมต่อวันในผู้หญิงและ 212 มิลลิกรัมต่อวันในผู้ชาย
CLA (Conjugated Linoleic Acid) ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างไร
จะเห็นได้ว่าบุคคลที่ออกกำลังกายมักจะเลือกเสริมอาหารเสริมลดน้ำหนักเพื่อเร่งการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง ควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย
CLA ช่วยเร่งการสลายไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย เช่นตามหน้าท้อง สะโพก ต้นแขน และต้นขา CLA จะช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานหรือไขมันให้กับร่างกาย โดยการกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ Carnitine Palmitoyl Transferase ช่วยให้ร่างกายมีการสะสมของไขมันลดลง
ลดปริมาณการเกิดไขมันใหม่ โดยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่มีชื่อว่า Lipo Protein Lipase ทำให้อาหารที่ทานเข้าไปไม่ถูกเปลี่ยนเป็นไขมันไปสะสมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
นอกจากนี้ CLA ในอาหารเสริมลดน้ำหนัก ยังช่วยสร้างมวลกล้ามเนื้อให้แข็งแรง โดยเปลี่ยนไขมันให้เป็นกล้ามเนื้ออีกด้วย
ต้องรับประทาน CLA (Conjugated Linoleic Acid) ในปริมาณเท่าใด
ปริมาณ CLA ทั่วไปสำหรับอาหารเสริมลดน้ำหนัก ควรใช้ในปริมาณเท่าใด? CLA ที่คุณควรใช้เพื่อการลดน้ำหนักอย่างนั้นขึ้นอยู่กับน้ำหนักเริ่มต้นของคุณ โดยหากคุณมีน้ำหนักเกินไม่มากนัก สามารถเสริม CLA ในปริมาณ 3-4 กรัมต่อวัน ก็เพียงพอแล้ว ในทางกลับกัน หากคุณมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน อาจจำเป็นต้องใช้ถึง 6-9 กรัมต่อวันเพื่อกระตุ้นการลดน้ำหนักให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
การศึกษาส่วนใหญ่เกี่ยวกับ CLA จะใช้ CLA ในปริมาณ 3–6 กรัมต่อวัน หรืออย่างน้อย 3 กรัมต่อวัน สามารถเห็นผลช่วยในการลดน้ำหนักได้ และในปริมาณมากถึง 6 กรัมต่อวัน ถือว่ายังปลอดภัยโดยไม่มีรายงานผลข้างเคียงที่ร้ายแรง
ผลข้างเคียง และข้อควรระวังในการใช้ CLA (Conjugated Linoleic Acid) ในการช่วยลดน้ำหนัก
การรับประทาน CLA ในรูปแบบอาหารเสริมลดน้ำหนัก ในปริมาณที่สูงเกินไป (มากกว่า 6 กรัมต่อวัน) อาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์บางอย่างเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น มีก๊าซ ท้องอืด และอุจจาระเหลว
นอกจากนี้การใช้ CLA ในปริมาณที่สูงเกินไป (มากกว่า 6 กรัมต่อวัน) ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ เภสัชกร ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เนื่องจากมีงานวิจัยบางชิ้นชี้ให้เห็นว่าการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารลดน้ำหนัก ที่มีส่วนประกอบของ CLA ในปริมาณที่สูงมาก อาจเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งบางชนิด อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาจากงานวิจัยนี้ยังไม่ได้รับการยืนยัน เนื่องจากยังมีข้อมูลในปริมาณที่จำกัด ดังนั้นการใช้ CLA อย่างปลอดภัยคือ อย่ารับประทาน CLA เกิน 6 กรัมต่อวัน และหากกำลังใช้ยาอื่นๆอยู่ด้วย ควรตรวจสอบปฎิกิริยาระหว่างกัน โดยปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเริ่มใช้ CLA
สารสกัดชาเขียว (Green Tea Extract)
ชาเขียว ลดน้ำหนัก หนึ่งในเครื่องดื่มยอดฮิต
สารสกัดชาเขียว (Green Tea Extract) คืออะไร
ชาเขียวเป็นเครื่องดื่มที่มีการบริโภคมานานหลายศตวรรษในประเทศจีนและประเทศอื่นๆ ในเอเชีย เป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ทำมาจากใบของต้น Camellia Sinensis โดยชาเขียวมักถูกแปรรูปด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อปรับรสชาติและสี ในชาเขียวมักมีวิตามิน แร่ธาตุ ไบโอฟลาโวนอยด์ และสมุนไพรที่ทำงานร่วมกันเพื่อช่วยล้างสารพิษอีกด้วย
ความแตกต่างที่สำคัญในชาเขียวกับชาชนิดอื่นๆคือปริมาณของคาเทชิน (Catechins) สารคาเทชินเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพซึ่งให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ การดื่มชาเขียวเป็นประจำทุกวัน ช่วยให้คุณได้รับประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น สุขภาพหัวใจและหลอดเลือดที่ดีขึ้น ระดับคอเลสเตอรอลที่ลดลง ลดความเสี่ยงของมะเร็งบางชนิด
นอกจาก เครื่องดื่มดังกล่าวยังช่วยเผาผลาญไขมัน ซึ่งปัจจุบันนิยมรับประทานชาเขียว ลดน้ำหนัก และจะเห็นได้ว่าชาเขียวเป็นส่วนประกอบทั่วไปในอาหารเสริมลดน้ำหนักหรืออาหารเสริมเผาผลาญไขมัน และมีการถูกนำไปรีวิว อาหารเสริม ลดน้ำหนักเป็นจำนวนมาก
สารสกัดชาเขียว (Green Tea Extract) ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างไร
ส่วนผสมสำคัญในสารสกัดจากชาเขียวที่มีผลในการช่วยลดน้ำหนัก คือ Catechins ในขณะที่ชาประเภทอื่นมีคาเทชินประมาณ 4-5% ชาเขียวมีมากถึง 50% ยิ่งมีคาเทชินสูงเท่าใด คุณสมบัติในการลดน้ำหนักก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น โดยสารออกฤทธิ์หลักคือ “เอพิคาเทชิน แกลเลต คาเทชิน โปรแอนโธไซยานิดิน” (Epigallocatechin gallate: EGCG) ในปัจจุบันมีอาหารเสริมลดน้ำหนักประเภทเครื่องดื่มชาเขียว ลดน้ำหนักค่อนข้างมากในท้องตลาด
- สารคาเทชินในชาเขียว (Catechins) ทำให้เกิดการออกซิเดชั่นของไขมัน หรือสลายไขมันเพิ่มขึ้น การศึกษาพบว่าสารออกฤทธิ์ในชาเขียวสามารถช่วยในกระบวนการนี้โดยกระตุ้นฮอร์โมนที่เผาผลาญไขมันบางชนิด เช่น นอร์เอปิเนฟริน (Norepinephrine) สารต้านอนุมูลอิสระหลักในชา EGCG สามารถช่วยยับยั้งเอนไซม์ที่ทำลายฮอร์โมน Norepinephrine เมื่อเอนไซม์ถูกยับยั้ง ปริมาณของ Norepinephrine จะเพิ่มขึ้น ช่วยส่งเสริมการสลายไขมัน
- เพิ่มการเผาผลาญไขมันโดยเฉพาะระหว่างออกกำลังกาย ในการศึกษาพบว่าผู้ที่รับประทานสารสกัดจากชาเขียวก่อนออกกำลังกาย สามารถเผาผลาญไขมันได้มากกว่าผู้ที่ไม่ทานอาหารเสริมลดน้ำหนักถึง 17% การศึกษาชี้ให้เห็นว่าชาเขียวสามารถเพิ่มผลการเผาผลาญไขมันระหว่างการออกกำลังกายได้ และยังมีการศึกษาหลายชิ้นซึ่งบ่งชี้ว่า EGCG ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมัน ซึ่งอาจนำไปสู่การลดไขมันในร่างกายในระยะยาว
- เพิ่มอัตราการเผาผลาญแคลอรีอย่างต่อเนื่อง แม้ในขณะพักผ่อน ในการศึกษาส่วนใหญ่ สามารถเพิ่มอัตราการเผาผลาญแคลอรีเพิ่มขึ้นประมาณ 3-4% บางส่วนเพิ่มขึ้นสูงถึง 8% แต่อย่างไรก็ตามผลขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
ต้องรับประทาน สารสกัดชาเขียว (Green Tea Extract) ในปริมาณเท่าใด
การดื่มชาเขียว 2 ถึง 3 ถ้วยในต่อวัน เพื่อคุณสมบัติเป็นอาหารเสริมลดน้ำหนัก ก็เพียงพอแล้วสำหรับการลดน้ำหนัก ปริมาณที่แน่นอนจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลขึ้นอยู่กับการเผาผลาญตามธรรมชาติ
ชาเขียวมีให้เลือกหลายแบบ แต่สำหรับการลดน้ำหนักนั้น มีความแตกต่างกันไม่มาก ชาเขียวที่ผ่านการแปรรูปน้อยที่สุดมีคุณค่าทางโภชนาการมากที่สุด จึงถือว่าดีที่สุดสำหรับการลดน้ำหนักและประโยชน์ต่อสุขภาพอื่นๆ ข้อดีอีกอย่างของชาเขียวก็คือมีแคลอรีเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปริมาณสารอาหารที่คุณได้รับจากชาเขียว
สำหรับการดื่มชาเขียว ลดน้ำหนัก คุณสามารถดื่มชาเขียวได้ทันทีหลังอาหาร ผู้เชี่ยวชาญยังแนะนำให้ดื่มชาเขียวในตอนเช้าและตอนเย็น แต่ในผู้ที่มีปัญหาเรื่องการนอนหลับควรหลีกเลี่ยงการดื่มชาเขียวใกล้เวลานอน เพราะอาจทำให้นอนหลับได้ยากขึ้น
ผลข้างเคียง และข้อควรระวังในการใช้ สารสกัดชาเขียว (Green Tea Extract) ในการช่วยลดน้ำหนัก
สารสกัดชาเขียว Green Tea Extract มีผลข้างเคียงน้อยโดยเฉพาะในผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่ควรทราบ ได้แก่
- ความไวต่อคาเฟอีน ผู้ที่มีอาการแพ้คาเฟอีนอย่างรุนแรงอาจมีอาการนอนไม่หลับ วิตกกังวล หงุดหงิด คลื่นไส้ หรือปวดท้องหลังจากดื่มชาเขียว
- ตับ การบริโภคสารสกัดจากชาเขียวที่มีความเข้มข้นสูงอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพตับ
- สารกระตุ้นอื่นๆ หากคนดื่มชาเขียวควบคู่ไปกับยากระตุ้น อาจทำให้ความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น
- ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรไม่ควรดื่มเกิน 6 ถ้วยต่อวันเพื่อจำกัดการบริโภคคาเฟอีน
สารสกัดเมล็ดกาแฟ (Green coffee bean extract)
กาแฟ ลดน้ำหนัก ด้วยสุดยอดสาร 2 ชนิดในเมล็ดกาแฟ
สารสกัดเมล็ดกาแฟ (Green coffee bean extract) คืออะไร
กาแฟ ลดน้ำหนัก เป็นการสกัดสารออกจากเมล็ดกาแฟ มาทำเป็นอาหารเสริมลดน้ำหนักที่ได้รับความนิยม เมล็ดกาแฟเขียวหรือเมล็ดกาแฟดิบเป็นเมล็ดกาแฟที่ไม่ผ่านการคั่ว สารสกัดจากเมล็ดกาแฟเขียวเป็นอาหารเสริมลดน้ำหนักยอดนิยม งานวิจัยบางชิ้นยังชี้ให้เห็นว่าสารสกัดจากเมล็ดกาแฟสีเขียวอาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ช่วยลดความดันโลหิตและระดับคอเลสเตอรอล จากคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและสารออกฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาอื่นๆ สารสกัดจากเมล็ดกาแฟเขียวมีกรดคลอโรจีนิก (Chlorogenic acids) ซึ่งเป็นกลุ่มของสารต้านอนุมูลอิสระที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ
กรดคลอโรจีนิก (Chlorogenic acids) มีผลดีต่อสุขภาพหลายประการ ได้แก่
- สารต้านอนุมูลอิสระ
- ต้านการอักเสบ
- ลดความดันโลหิต
- ช่วยเรื่องสุขภาพหัวใจและตับ
แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากเมล็ดกาแฟคั่ว จำเป็นต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในระหว่างการคั่ว กรดคลอโรจีนิกส่วนใหญ่มักหายไป อย่างไรก็ตาม กาแฟคั่วยังมีสารที่มีประโยชน์อีกมากมาย
สารสกัดเมล็ดกาแฟ (Green coffee bean extract) ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างไร
การรับประทานคาเฟอีนอาจช่วยส่งเสริมการลดน้ำหนัก ลดดัชนีมวลกาย (BMI) และลดไขมันในร่างกาย ได้ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ากรดคลอโรจีนิกในสารสกัดจากเมล็ดกาแฟเขียวเป็นกุญแจสำคัญในการลดน้ำหนักมากกว่า ดังนั้นอาหารเสริมลดน้ำหนัก เช่นเครื่องดื่มกาแฟ ลดน้ำหนัก สามารถลดน้ำหนักได้ได้ด้วยสารหลัก 2 ตัวคือ คาเฟอีน และกรดคลอโรจีนิก
นอกจากนี้กรดคลอโรจีนิกอาจช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและลดระดับอินซูลินที่เพิ่มขึ้นโดยการลดการดูดซึมคาร์โบไฮเดรตในทางเดินอาหาร นอกจากนี้ กรดคลอโรเจนิกอาจช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมัน ลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ และปรับระดับฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วนให้สมดุลขึ้น
ในการศึกษาผู้หญิงที่เป็นโรคอ้วน ให้รับประทานสารสกัดจากเมล็ดกาแฟเขียว 400 มิลลิกรัม เป็นเวลา 8 สัปดาห์ ควบคู่ไปกับการควบคุมอาหาร ส่งผลให้น้ำหนักลดลงมากกว่าควบคุมการรับประทานอาหารเพียงอย่างเดียว
ในผู้ที่รับประทานสารสกัดกาแฟ ลดน้ำหนักนี้ ยังสามารถลดคอเลสเตอรอลรวม คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) ลงได้ ซึ่งเป็นผลมาจากการสลายไขมันในร่างกาย ซึ่งอาจช่วยให้ควบคุมน้ำหนักได้ดียิ่งขึ้น
ต้องรับประทาน สารสกัดเมล็ดกาแฟ (Green coffee bean extract) ในปริมาณเท่าใด
ปริมาณสารสกัดเมล็ดกาแฟ ลดน้ำหนักที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น อายุ สุขภาพ และสภาวะอื่นๆ ของผู้ใช้
ในขณะนี้ มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ไม่เพียงพอที่จะกำหนดปริมาณที่เหมาะสม สำหรับแต่ละบุคคล แต่ละช่วงวัย
อย่างไรก็ดี แนะนำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำที่อยู่บนฉลากผลิตภัณฑ์อาหารเสริมลดน้ำหนักและปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพอื่น ๆ ก่อนใช้
ผลข้างเคียง และข้อควรระวังในการใช้ สารสกัดเมล็ดกาแฟ (Green coffee bean extract) ในการช่วยลดน้ำหนัก
เนื่องจากการวิจัยมีจำกัด นักวิทยาศาสตร์ไม่ทราบถึงผลกระทบระยะยาวของสารสกัดจากเมล็ดกาแฟเขียวในการนำมาใช้เป็นอาหารเสริมลดน้ำหนัก แต่อย่างไรก็ตามการใช้ในระยะเวลาสั้นๆ งานวิจัยที่มีอยู่แสดงให้เห็นว่ากาแฟ ลดน้ำหนักยังมีความปลอดภัยที่ดี
สารสกัดเมล็ดกาแฟเขียวมีปริมาณคาเฟอีนอยู่ ซึ่งอาจมีผลข้างเคียงมากขึ้นเมื่อรับประทานในปริมาณมาก ผลข้างเคียงเหล่านี้ เช่น ความวิตกกังวล ความกระวนกระวายใจ และการเต้นของหัวใจที่เร็วผิดปกติ
โดยผลิตภัณฑ์สารสกัดเมล็ดกาแฟเขียวมีคาเฟอีนในปริมาณที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภท ดังนั้นแนะนำให้พิจารณาแต่ละผลิตภัณฑ์อาหารเสริมลดน้ำหนักให้ดีก่อน
ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร เด็ก หรือผู้ที่เป็นโรคตับหรือไต ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานผลิตภัณฑ์สารสกัดเมล็ดกาแฟเขียว
ราสเบอร์รี่คีโตน (Raspberry Ketones)
ที่ไม่ใช่การลดน้ำหนัก แบบคีโต
ราสเบอร์รี่คีโตน (Raspberry Ketones) คืออะไร
ราสเบอร์รี่คีโตนเป็นสารจากธรรมชาติที่ช่วยให้ราสเบอร์รี่สีแดงมีกลิ่นหอม สารนี้ยังพบในปริมาณเล็กน้อยในผลไม้และผลเบอร์รี่อื่นๆ เช่น แบล็กเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ กีวี พีช องุ่น แอปเปิ้ล เบอร์รี่อื่นๆ ผัก เช่น รูบาร์บ และเปลือกของต้นยู เมเปิ้ล และต้นสน มีประวัติการใช้ราสเบอร์รี่คีโตนมาอย่างยาวนาน เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอาง และได้เติมลงในน้ำอัดลม ไอศกรีม และอาหารแปรรูปอื่นๆ เพื่อเป็นเครื่องปรุง และปัจจุบันนี้ราสเบอร์รี่คีโตนกลายเป็นที่นิยมในฐานะอาหารเสริม ลดน้ำหนัก
อาหารเสริม ลดน้ำหนัก มาจากการสกัดราสเบอร์รี่คีโตน ออกจากราสเบอร์รี่ ซึ่งการสกัดนั้นมีราคาแพงเป็นพิเศษเนื่องจาก ราสเบอร์รี่ทั้งหมด 2.2 ปอนด์ (1 กิโลกรัม) มีคีโตนราสเบอร์รี่เพียง 1-4 มิลลิกรัม เท่านั้น นั่นคือ 0.0001–0.0004% ของน้ำหนักทั้งหมด
ดังนั้นคีโตนราสเบอร์รี่ที่ผสมในอาหารเสริมลดน้ำหนักต่างๆ ส่วนใหญ่นั้นผลิตขึ้นจากการสังเคราะห์
ราสเบอร์รี่คีโตน (Raspberry Ketones) ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างไร
โครงสร้างโมเลกุลของนราสเบอร์รี่คีโตนมีความคล้ายคลึงกันมากกับอีก 2 โมเลกุลคือแคปไซซิน ที่พบในพริกและสารกระตุ้นไซเนฟรีน ซึ่งมีการศึกษาระบุว่าโมเลกุลเหล่านี้สามารถเพิ่มการเผาผลาญได้
ในการศึกษา พบว่าราสเบอร์รี่คีโตน ช่วยในการสลายไขมันที่เพิ่มขึ้น โดยหลักแล้วทำให้เซลล์ไวต่อฮอร์โมน Norepinephrine ที่เผาผลาญไขมันมากขึ้น เพิ่มการหลั่งฮอร์โมน Adiponectin ถูกปล่อยออกมาจากเซลล์ไขมันและอาจมีบทบาทในการควบคุมการเผาผลาญและระดับน้ำตาลในเลือด
ผู้ที่มีน้ำหนักปกติจะมีระดับ Adiponectin สูงกว่าผู้ที่มีน้ำหนักเกินมาก ระดับของฮอร์โมนนี้เพิ่มขึ้นเมื่อคนลดน้ำหนักการศึกษาแสดงให้เห็นว่าผู้ที่มีระดับ Adiponectin ต่ำมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคอ้วน เบาหวานชนิดที่ 2 โรคไขมันพอกตับ และแม้แต่โรคหัวใจ ดังนั้น การเพิ่มระดับ Adiponectin สามารถช่วยลดน้ำหนักและลดความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ ได้
ต้องรับประทาน ราสเบอร์รี่คีโตน (Raspberry Ketones) ในปริมาณเท่าใด
ปริมาณราสเบอร์รี่คีโตนที่เหมาะสมเพื่อใช้เป็นอาหารเสริมลดน้ำหนัก ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น อายุ สุขภาพ และสภาวะอื่นๆ ของผู้ใช้ ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เพียงพอที่จะกำหนดปริมาณที่เหมาะสมสำหรับราสเบอร์รี่คีโตน เพื่อใช้เป็นอาหารเสริม ลดน้ำหนัก จากการศึกษาในสัตว์ทดลองส่วนใหญ่ นักวิจัยได้ให้อาหารเสริมลดน้ำหนักที่มีคีโตนราสเบอร์รี่ในปริมาณ 1–2% ของอาหารทั้งหมดที่สัตว์ทดลองได้รับ โดยทั่วไปในฉลากผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ลดน้ำหนัก มักแนะนำให้รับประทานในปริมาณ 100–400 มิลลิกรัม วันละ 1-2 ครั้ง
อย่างไรก็ตามแนะนำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลากผลิตภัณฑ์แต่ละผลิตภัณฑ์ และปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพอื่น ๆ ก่อนใช้
ผลข้างเคียง และข้อควรระวังในการใช้ ราสเบอร์รี่คีโตน (Raspberry Ketones) ในการช่วยลดน้ำหนัก
เนื่องจากยังไม่มีการทดลองทางคลินิกที่ออกแบบเกี่ยวกับมนุษย์ แพทย์และนักวิจัยไม่ทราบแน่ชัดว่าคีโตนราสเบอร์รี่มีความปลอดภัยหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ในการใช้เป็นวัตถุเจือปนอาหาร ราสเบอรี่คีโตนถูกจัดประเภทเป็น “ปลอดภัย” (GRAS) โดยองค์การอาหารและยาประเทศอเมริกา
มีรายงานอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงคล้ายกับอาหารเสริมลดน้ำหนักอื่นๆ ได้แก่ นอนไม่หลับ ใจสั่น ความวิตกกังวล ความดันโลหิตสูง
ผู้ที่พิจารณาใช้ราสเบอร์รี่คีโตนควรปรึกษาแพทย์ก่อนก่อนรับประทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่
- มีโรคประจำตัว
- กินยาตามใบสั่งแพทย์ หรือกินอาหารเสริม สมุนไพร ลดน้ำหนัก อื่นๆ ร่วมด้วย
- ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร เด็กไม่ควรทานอาหารเสริมลดน้ำหนัก
สารสกัดส้มขม (Bitter Orange)
สมุนไพร ลดน้ำหนัก จากส้มชนิดหนึ่ง
สารสกัดส้มขม (Bitter Orange) คืออะไร
ต้นส้มขม (Bitter Orange) มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาและเอเชียเขตร้อน นอกจากนี้ยังปลูกในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แคลิฟอร์เนีย และฟลอริดา เปลือกส้ม (ส้มขม) ประกอบด้วยสารประกอบที่เรียกว่าไซเนฟรีน (Synephrine) ซึ่งคาดว่ามีประโยชน์ต่อการลดน้ำหนักโดยจะเพิ่มการเผาผลาญและเพิ่มอุณหภูมิของร่างกาย ทำให้ร่างกายมีการใช้แคลอรี่ ไขมัน มากขึ้น เป็นผลให้สามารถเผาผลาญแคลอรีได้มากขึ้นแม้ในขณะที่คุณพักผ่อน เป็นหนึ่งในสมุนไพร ลดน้ำหนักที่นิยมใช้
สารไซเนฟรีน (Synephrine) เกี่ยวข้องกับอีเฟดรีน (Ephedrine) ซึ่งเคยเป็นส่วนผสมยอดนิยมในสูตรอาหารเสริมลดน้ำหนักต่างๆ แต่อย่างไรก็ตาม สาร Synephrine ไม่เหมือนอีเฟดรีน โดยไซเนฟรีนไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกับอารมณ์ มีเพียงคุณสมบัติช่วยในการเผาผลาญไขมันเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม อีเฟดรีนถูกสั่งห้ามเป็นส่วนผสมในอาหารเสริมลดน้ำหนักโดยองค์การอาหารและยาประเทศอเมริกา เนื่องจากมีผลข้างเคียงที่ร้ายแรง อย่างไรก็ตาม สำหรับส้มขม นั้นไม่มีสารอีเฟดรีน จึงปลอดภัยสำหรับใช้เป็นอาหารเสริมลดน้ำหนักที่จำหน่ายในท้องตลาดโดยทั่วไป
สารสกัดส้มขม (Bitter Orange) ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างไร
ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าสารไซเนฟรีน มีกลไกคล้ายคลึงกันกับอีเฟดรีน ที่ช่วยลดความอยากอาหารและเพิ่มการเผาผลาญไขมันได้อย่างมาก ในร่างกาย สารสกัดส้มขม (Bitter Orange) ช่วยให้ร่างกายของคุณใช้พลังงานสะสม (ไขมัน) ในการทำงานของเซลล์ต่างๆในร่างกาย
ในทางกลับกัน เมื่อมีไขมันในร่างกายมากเกินไป มักจะอุดตันหลอดเลือดและมีส่วนทำให้เกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และปัญหาสุขภาพอื่นๆ อีกมากมาย สารสกัดส้มขม (Bitter Orange) นี้ช่วย ส่งเสริมระดับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เหมาะสมโดยเพิ่มความสามารถของร่างกายในการใช้กลูโคสและ/หรือไกลโคเจนเป็นพลังงาน อีกด้วย
ต้องรับประทาน สารสกัดส้มขม (Bitter Orange) ในปริมาณเท่าใด
ปริมาณของสมุนไพร ลดน้ำหนัก สารสกัดส้มขมที่แนะนำเพื่อเป็นอาหารเสริมลดน้ำหนัก อยู่ระหว่าง 0.5 - 1 กรัมต่อกิโลกรัมของน้ำหนักตัว ตัวอย่างเช่น หากคุณมีน้ำหนัก 77 กิโลกรัม คุณจะต้องกินส้มขมเพื่อเป็นอาหารเสริมลดน้ำหนัก ระหว่าง 34 ถึง 51 กรัมต่อวัน เป็นต้น
แต่อย่างไรก็ตามสิ่งนี้เป็นเพียงแนวทางคร่าวๆ เนื่องจากในร่างกายของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน จึงควรปรึกษากับแพทย์ก่อนเริ่มโปรแกรม ลดน้ำหนักใดๆ
ผลข้างเคียง และข้อควรระวังในการใช้ สารสกัดส้มขม (Bitter Orange) ในการช่วยลดน้ำหนัก
ผลข้างเคียง และข้อควรระวังในการใช้ อาหารเสริมลดน้ำหนักสารสกัดส้มขม (Bitter Orange) ในการเป็นอาหารเสริมลดน้ำหนัก มีคล้ายกับสารอีเฟดรีน สารไซเนฟรีนอาจมีผลข้างเคียงที่ร้ายแรงกับหัวใจ ได้แก่หัวใจเต้นผิดจังหวะ องค์การอาหารและยาจึงไม่แนะนำให้ใช้เป็นอาหารเสริม ในผู้เป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง หรือมีปัญหาทางการแพทย์อื่นๆ
กลูโคแมนแนน (Glucomannan)
อาหารเสริมอีกหนึ่งชนิดที่ช่วยการลดน้ำหนักของคุณ
กลูโคแมนแนน (Glucomannan) คืออะไร
กลูโคแมนแนนเป็นเส้นใยชนิดหนึ่งที่พบในรากของมันเทศหรือที่เรียกว่าบุก เป็นเส้นใยที่ละลายน้ำได้ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและช่วยชำระล้างลำไส้ กลูโคแมนแนน (Glucomannan) ถูกใช้เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมลดน้ำหนัก นอกจากนี้กลูโคแมนแนนยังใช้เป็นสารเพิ่มความข้นหรืออิมัลซิไฟเออร์ในเครื่องดื่มหลากหลายชนิด
กลูโคแมนแนน (Glucomannan) ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างไร
กลูโคแมนแนน (Glucomannan) เป็นเส้นใยอาหารที่สกัดจากรากของต้นบุก เป็นคาร์โบไฮเดรตที่ไม่สามารถย่อยได้ เมื่อรับประทานเข้าไป สารนี้จะถูกขับออกจากร่างกายโดยไม่เปลี่ยนแปลงรูป ดังนั้นกลูโคแมนแนน จึงมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดเพียงเล็กน้อย ซึ่งหมายความว่าไม่ก่อให้เกิดการตอบสนองของอินซูลิน
แต่อย่างไรก็ตาม กลูโคแมนแนนยังดูดซับน้ำในลำไส้ได้ โดยกลูโคแมนแนนจะดูดซับน้ำและกลายเป็นเจลในลำไส้ ช่วยให้เกิดความรู้สึกอิ่ม ช่วยให้คุณกินแคลอรี่น้อยลง จึงเป็นหนึ่งในอาหารเสริมลดน้ำหนักที่มีการใช้ในท้องตลาด
ต้องรับประทาน กลูโคแมนแนน (Glucomannan)ในปริมาณเท่าใด
โดยทั่วไปแนะนำให้รับประทานกลูโคแมนแนน (Glucomannan) ในรูปแบบอาหารเสริมลดน้ำหนัก ที่ 2 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง (พร้อมอาหารหรือก่อนอาหาร 30 นาที) โดยรับประทานไม่เกิน 4 แคปซูลในระยะเวลา 1 วัน การรับประทานมากกว่า 4 แคปซูลในช่วงเวลา 24 ชั่วโมง อาจทำให้รู้สึกไม่สบายท้อง ท้องร่วง และ/หรืออุจจาระเหลวได้
ผลข้างเคียง และข้อควรระวังในการใช้ กลูโคแมนแนน (Glucomannan) ในการช่วยลดน้ำหนัก
อาหารเสริมลดน้ำหนักกลูโคแมนแนนนั้นมีผลข้างเคียงเล็กน้อย อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ และอุจจาระนิ่ม แต่มักเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดของกลูโคแมนแนนคืออาการท้องเสีย ซึ่งเกิดจากคุณสมบัติทางธรรมชาติของสมุนไพร ลดน้ำหนัก และไม่เป็นอันตราย
อย่างไรก็ตาม หากคุณมีอาการป่วยหรือใช้ยาอื่นอยู่ ควรตรวจสอบกับแพทย์ก่อนรับประทานอาหารเสริม ลดน้ำหนัก
นอกจากนี้คุณควรหลีกเลี่ยงการรับประทานส้มโอที่มากเกินไป ในขณะที่ทานอาหารเสริมลดน้ำหนักกลูโคแมนแนน เพราะในส้มโอมีสารที่เรียกว่า "เกรปฟรุตไกลโคไซด์ (Grapefruit glycoside)" ซึ่งเพิ่มฤทธิ์ของกลูโคแมนแนนได้
แคปไซซิน (Capsaicin)
สารหนึ่งในพริกที่ช่วยลดน้ำหนักได้
แคปไซซิน (Capsaicin) คืออะไร
แคปไซซิน (Capsaicin) เป็นสารประกอบที่พบในพริก ที่ให้รสเผ็ด โดยสารนี้มักมีปริมาณมากในเมล็ด ทำให้เวลาเรารับประทานเมล็ดพริก เราจะรู้สึกเผ็ดร้อนกว่าเนื้อพริกนั่นเอง
โดยสารแคปไซซิน (Capsaicin) นี้จะกระตุ้นตัวรับความเจ็บปวดในลิ้นของคุณ ทำให้เกิดความรู้สึกร้อน โดยแต่ละคนมีความไวต่อแคปไซแตกต่างกันออกไป และความเผ็ดร้อนของพริก ถูกกำหนดให้วัดในหน่วยความร้อน Scoville (SHU) ซึ่งมีตั้งแต่ 0 ถึง 15 ล้าน ตัวอย่างเช่น พริกฮาลาเปโน่วัด SHU ได้ประมาณ 2,500–8,000 SHU ในขณะที่พริกฮาบาเนโรตีได้ 100,000–350,000 SHU เป็นต้น
สำหรับอาหารเสริมลดน้ำหนัก แคปไซซินมักทำมาจากพริกป่น อาหารเสริมเหล่านี้มักมี SHU อยู่ระหว่าง 40,000–100,000 โดยสารแคปไซซิน (Capsaicin) จะถูกบรรจุอยู่ภายในเปลือกแคปซูล จึงทำให้เราไม่รู้สึกถึงความเผ็ดร้อนเช่นเดียวกับการรับประทานพริกนั่นเอง
แคปไซซิน (Capsaicin) ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างไร
เนื่องจากน้ำหนักของของเราขึ้นอยู่กับการเมแทบอลิซึม ซึ่งเป็นกระบวนการย่อยสิ่งที่รับประทานและดื่มเข้าไป ให้เป็นพลังงานเพื่อให้ร่างกายนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน อาหารเสริมลดน้ำหนัก แคปไซซินช่วยเพิ่มการเผาผลาญของคุณ ช่วยให้คุณลดน้ำหนักและเผาผลาญไขมันได้ง่ายขึ้น แคปไซซินทำงานโดยการเพิ่มปริมาณการใช้ออกซิเจนและอุณหภูมิของร่างกาย ซึ่งนำไปสู่การเผาผลาญแคลอรีที่เพิ่มขึ้นได้ นอกจากนี้แคปไซซินยังมีฤทธิ์ระงับความอยากอาหาร ซึ่งช่วยให้คุณลดปริมาณการรับประทาน ลดแคลอรี่ได้
อาหารเสริม ลดน้ำหนัก แคปไซซินอาจมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง เช่น พริกขี้หนู ช่วยต่อสู้กับอนุมูลอิสระในร่างกายของคุณ โดยพริกสดจะมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าในอาหารเสริม อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระลดการอักเสบสูง ยังสัมพันธ์กับการช่วยลดความเสี่ยงของการเจ็บป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และมะเร็งบางชนิด
ต้องรับประทาน แคปไซซิน (Capsaicin) ในปริมาณเท่าใด
การรับประทานพริกสด ทั่วไปอาจมีปริมาณของสาร Capsaicin ไม่เพียงพอเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการลดน้ำหนัก ในปัจจุบันจึงมีการรับประทานอาหารเสริมลดน้ำหนักที่มีสาร Capsaicin เป็นส่วนประกอบ เพราะมีปริมาณของแคปไซซินที่เข้มข้นกว่า
แม้ว่าปริมาณที่แนะนำในแต่ละการศึกษาจะแตกต่างกันไป เมื่อพิจารณาการศึกษาจำนวนมากมักใช้แคปไซซินปริมาณ 2-6 มิลลิกรัมต่อวัน
อาหารเสริม ลดน้ำหนักส่วนใหญ่ในท้องตลาดมักใช้พริกป่นเป็นส่วนประกอบหลัก เนื่องจากมีปริมาณของสารแคปไซซินสูง ในพริกป่นมีแคปไซซินประมาณ 2.5 มิลลิกรัมต่อกรัม คุณจึงควรรับประทานแคปซูลขนาด 500 มิลลิกรัม 2 – 5 แคปซูล จึงจะได้รับแคปไซซินปริมาณ 2-6 มิลลิกรัมนั่นเอง
อย่างไรก็ตามควรเริ่มต้นด้วยขนาดต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น และค่อยๆ เพิ่มจนได้ปริมาณที่ต้องการ
ผลข้างเคียง และข้อควรระวังในการใช้ แคปไซซิน (Capsaicin) ในการช่วยลดน้ำหนัก
แม้ว่าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมลดน้ำหนัก แคปไซซินจะได้รับการยอมรับโดยทั่วไปว่าปลอดภัย แต่มีข้อควรระวังบางประการได้แก่
- อาจทำให้เกิดอาการแสบร้อนที่ทางเดินอาหารได้ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแคปไซซิน
- สำหรับผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อนหรืออาการเสียดท้อง อาหารหรืออาหารเสริมที่มีแคปไซซินอาจทำให้อาการของโรคที่เป็นอยู่รุนแรงมากขึ้น
- อาจทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น การรับประทานอาหารเสริมลดน้ำหนักที่มีปริมาณของแคปไซซินมากเกินไปอาจทำให้คุณรู้สึกไม่สบายตัว
- นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่อาหารเสริมแคปไซซินอาจไปเพิ่มความดันโลหิตของคุณ ดังนั้น หากคุณกำลังใช้ยาลดความดันโลหิต คุณควรตรวจสอบกับแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนรับประทานอาหารเสริมลดน้ำหนักนี้
แนวทางที่เหมาะสมในการลดน้ำหนัก ควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารเสริมลดน้ำหนัก
อาหารเสริมลดน้ำหนักอาจมีราคาแพงและอาจได้ผลไม่มากนัก วิธีที่ดีที่สุดในการลดน้ำหนักได้อย่างยั่งยืนคือการปรับรูปแบบการรับประทานอาหาร โดยทานอาหารเพื่อสุขภาพให้มากขึ้น จำกัดแคลอรี่ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเมื่อใช้วิธีการดังกล่าวร่วมกับการรับประทานอาหารเสริมลดน้ำหนัก จะช่วยให้การลดน้ำหนักของคุณเห็นผลได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ข้อดีของการปรับวิถีชีวิต ลดน้ำหนักที่มากจนเกินไป คือจะทำให้คุณมีอารมณ์ดีขึ้น ไม่หงุดหงิดง่าย และลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็งบางชนิดได้ด้วย